วันอังคารที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ธรรมชาติของเฟินและญาติของเฟิน


เฟิน (Ferns) และญาติของเฟิน (Fern Allies) คืออะไร

เฟินและญาติของเฟินรวมกันเป็นกลุ่ม division ในอาณาจักรพืชทีเรียกว่า Pteridophyta พืชกลุ่มนี้ เป็นพืชไม่มีดอก และการขยายพันธุ์เพิ่มจำนวนมีวิธีการที่เห็นไม่ชัดเจน ลักษณะการขยายพันธุ์แบบนี้มีในพืชชนิดอื่นอีก เช่น สาหร่าย มอส และลิเวอร์เวิร์ท จึงเรียกพืชในกลุ่มที่มีการขยายพันธุ์แบบเห็นไม่ชัดนี้ว่า Cryptogams หมายความว่า "hidden marriage" เฟินและญาติของเฟิน มีลักษณะที่คล้ายคลึงกับสาหร่ายและมอสอยู่หลายประการ แต่ก็มีลักษณะที่แตกต่างออกไปมากที่สุดก็คือ มีระบบท่อลำเลียง ที่ใช้ลำเลียง น้ำ สารอาหาร และโฮโมนอยู่ภายใน 

ฟินและญาติของเฟิน เป็นพืชที่มีบรรพบุรุษมาแต่ยุคอดีตกาลโบราณหลายล้านปี ทราบได้จากซากสิ่งมีชีวิตในสมัยโบราณที่นักวิทยาศาสตร์ขุดพบ ตั้งแต่ยุคเมโสโซอิค เมื่อ 360 ล้านปีผ่านมาแล้ว เฟินมีอายุเก่าแก่มากกว่าสัตว์บกทั้งหลาย รวมถึงไดโนเสาร์ด้วยซ้ำไป เฟินเกิดขึ้นมาบนโลก ก่อนที่จะมีพืชมีดอก ก่อนถึง 200 ล้านปี ส่วนกำเนิดเริ่มต้นของเฟินและญาติของเฟินไม่เป็นที่ทราบได้แน่ชัด แต่เชื่อว่า พวกมันมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสาหร่ายมากกว่ามอส และอาจมีมีจุดกำเนิดเริ่มต้นมาจากสาหร่ายก็เป็นได้
ตามที่เรารู้ๆ กันว่า เฟินส่วนมากเป็นต้นไม้ที่เติบโตในพื้นที่ชุ่มชื้น ภายใต้ร่มเงาในป่าใหญ่ พวกมันเป็นพืชที่มีระบบท่อลำเลียง ที่มีระบบท่ออยู่ภายใน เพื่อลำเลียงขนถ่ายน้ำและธาตุอาหาร ขึ้นมาหล่อเลี้ยงต้น เหมือนพืชที่มีระบบท่อลำเลียงชนิดอื่น อย่างพืชมีดอก หรือพืชจำพวก conifers อย่างเช่น พวกสน เป็นต้น แต่แตกต่างกันที่ พืชจำพวกหลังนี้ต้นอ่อนใหม่เจริญเติบโตงอกออกมาจากเมล็ด ส่วนเฟินนั้น งอกจากสปอร์และมีช่วงชีวิตส่วนนี้เรียกว่า แกมมีโตไฟต์
สิ่งที่เฟินแตกต่างกับพืชมีดอกและพืชเมล็ดเปลือย
เฟินเป็นพืชที่บอบบางกว่าพืชที่มีระบบท่อลำเลียงด้วยกันตรงที่ มันสามารถเจริญเติบโตได้ในที่ที่มีความชื้นเพียงพอและเหมาะสม สปอร์ของเฟินจะไม่สามารถงอกและขยายพันธุ์ไปได้ในที่ๆ ทั้งร้อนและแห้งแล้ง ต่างกับพืชมีดอกหรือพืชจำพวกสนที่ต้องการเพียงความชื้นเล็กน้อย ก็สามารถงอกและเจิญเติบโตเป็นต้นใหม่ได้
พืชมีดอกทั่วไป เราพอจะทราบกันอยู่แล้วถึงวิธีการขยายพันธุ์ เมื่อเปรียบเทียบกับเฟิน พืชมีดอกนั้นอาศัย เช่น ลม น้ำ แมลง สัตว์ เป็นต้น เป็นตัวนำพาเกสรตัวผู้ัจากดอกไม้ดอกหนึ่ง ข้ามไปผสมพันธุ์กับเกสรตัวเมียอีกดอกหนึ่ง เมื่อเกิดการปฏิสนธิขึ้น จะทำให้เกิดเป็นต้นอ่อนเก็บไว้ภายในเมล็ด เพื่อรอการแพร่กระจายออกไปงอกเป็นต้นใหม่ในที่อื่นๆ ต่อไป
สำหรับเฟินนั้น แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง เฟินขยายพันธุ์ด้วยสปอร์ ซึ่งเป็นวิธีการที่ค่อนซับซ้อนมากยิ่งกว่า อีกทั้งเฟินไม่มีดอกบนต้นที่จะให้เกสรตัวผู้ข้ามมาผสมกับเกสรตัวเมียเพื่อให้เกิดเป็นต้นอ่อน ทั้งขบวนการปฏิสนธิจำเป็นต้องมีน้ำอยู่ด้วยจึงจะสามารถเกิดขบวนการนี้ได้
เกร็ดความรู้ :


รากศัพท์ของคำว่า fern
fern ในภาษาอังกฤษปัจจุบัน มาจาก ferne ใน Middle English (ประมาณ คศ 1300) ซึ่งพัฒนาจาก fearn ใน Old English (ประมาณปี 700) และมีรากคำ porno ในภาษา Indo-European (ภาษาในยุโรปเกือบทั้งหมดรวมทั้งภาษาสันสกฤตมาจากภาษานี้)
ในภาษาเยอรมันปัจจุบันใช้คำว่า farn ในภาษา Dutch (Norway )ใช้คำว่า varen (a มีตัวกลมๆอยู่ข้างบน) ก็มาจากรากเดียวกันนี้ (ภาษา Norway – varen แปลว่าฤดูใบไม้ผลิ) คำและรากศัพท์ เหล่านี้ มีความหมายแปลว่า ขนนก หรือใบไม้
และ เชื่อกันว่าเดิมทีเดียว fern หมายถึง ใบไม้ที่เหมือนขนนก (feathery leaf)

รากเดียวกันนี้ยังป็นที่มาของคำ parnam, parna ในภาษา Sanskrit ซึ่งแปลว่า ขนนก หรือใบไม้ เหมือนกัน หาในพจนานุกรม Sanakrit คำนี้แปลว่า ขนนก, ใบไม้ , ลูกพลัม, ลูกธนู ไม่รู้เรื่องภาษาสันสกฤต เลยลองหาคำพ้องเสียงในพจนานุกรมไทย ได้คำว่า “พาณ” แปลว่าลูกธนู ไม่รู้ว่าเกี่ยวกันหรือเปล่า

บางครั้งภาษาไทย (ที่มาจากสันสกฤต) กับภาษาอังกฤษก็ใกล้กันนิดเดียว เช่น man กับมนุษย์ มาจากรากศัพท์เดียวกัน เดิม man แปลว่ามนุษย์ ไม่ได้แปลว่าผู้ชาย (ผู้ชายใช้คำ wer, ผู้หญิง wif) มาใช้ความหมายว่าผู้ชายเมื่อปี 1000 นี่เอง แล้ว wer ก็เลิกใช้ไป มีหลงเหลือให้เห็นอยู่คำเดียว คือ werewolf (มนุษย์หมาป่า)
คนไทยเรียกเฟินว่า กูด โดย fsMaster

คำไท-ไทย-ลาวเรียก กูด มาแต่ช้านาน เป็นคำโบราณมีมาแต่สมัยก่อน แต่ไม่ได้มีการทำข้อตกลงกำหนดนิยามเอาไว้ว่า

ต้นไม้ชนิดบ้างที่จัดเป็น กดู

เล่าถึงในรัชสมัย รัชกาลที่ ๕ พระองค์ทรงนำพันธุ์ไม้ชนิดใหม่ๆ มากมาย จากต่างประเทศ เข้ามาปลูกเลี้ยงและขยายพันธุ์ในสยามประเทศ เมื่อคราวที่เสด็จไปเยี่ยมประเทศต่างๆ หลายประเทศ เพื่อผูกสัมพันธไมตรี ต้นไม้ที่ทรงนำเข้ามาในตอนนี้น ก็มีหลายชนิดที่เป็นต้นไม้จำพวกกูด แต่ไม่มีใครเรียกต้นไม้เหล่านั้นว่า กูด ในสมัยนั้น เรียกกันแต่ว่า เฟิน ตามชื่อเรียกที่ได้จดจำบันทึกกำกับมาจากต่างประเทศ


เข้าใจว่า สยามประเทศในสมัยนั้น คงยังไม่มีการศึกษาในรายละเอียดของเฟินที่นำเข้ามาเหล่านั้นว่า แท้จริงแล้ว ก็คือ ต้นไม้ในตระกลูเดียวกันกับ กดู ในสยามประเทศของเรา และเมื่อเฟินเหล่านั้น ได้มีการแพร่ขยายพันธุ์ออกไป เป็นที่นิยมปลูกเลี้ยงประดับบ้านเรือนกันทั่วไปแล้ว
ก็ยังคงเรียกกันว่า เฟิน ตามชื่อเดิมที่มา จนในที่สุด คนไทยในเมือง ก็ลืมคำว่า กูด ไปหมดสิ้น เหลือแต่คำว่า เฟิน
ประกอบกับ คนไทยในเมือง ได้รู้จักแต่คำว่า เฟิน จากตำรับตำราเรียน วิชาวิทยาศาสตร์บ้าง วิชาสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิตบ้าง
และยังได้รู้จักวิธีสังเกตและการจำแนกแยกชนิดต้นไม้ได้ว่า ต้นไม้ที่มีใบอ่อนใหม่ ม้วนเป็นลานนาฬิกา คือ เฟิน แต่แทบจะไม่เคยได้ยินคำว่า กูด เรียกกันในเมืองอีกเลย
จะเหลือก็เพียงแต่ คนบ้านนอก หรือคนที่อยู่ในชนบทห่างความเจริญออกไปไกล จึงยังมีคนที่เรียก กูด หรือ ผักกูด อยู่ ตามชื่อต้นไม้ที่เรียกกันมาดั้งเดิม แต่บรรพบุรุษ ปู่ ย่า ตา ยาย อีกทั้งยังรู้ด้วยว่า กูด ต้นไหนกินได้ เคยกิน หรือเคยลองกิน ก็จะเรียกว่า ผักกูด
และอาจจะไม่เคยได้รับรู้ หรือรู้จัก เฟิน จากตำราเรียน เหมือนอย่างคนในเมือง ทำให้ช่วยอนุรักษ์คำว่า กูด เอาไว้ให้กับคนไทยรุ่นใหม่ได้รับรู้สืบต่อมา
รากศัพท์และความหมายของคำว่า กูด
ในพจนานุกรม บอกว่าภาษาถิ่นของทางเหนือกับอิสาน เรียกเฟินว่า "กูด" มีอีกความหมายว่า หงิก ซึ่งเป็นภาษาถิ่นของทาง เหนือกับอิสาน และใต้ด้วย
ดังนั้น ผักกูด คือ ผักยอดหงิก
ส่วน เฟิน หรือ เฟิร์น นั้น เฟิน น่าจะเป็นการสะกดที่ถูกต้องที่สุด แต่อนุโลมให้ใช้ เฟิร์น ได้ (จำมาจากพจนานุกรมฯ 2542)


สำหรับคำว่า "กูด" ที่ว่าเป็นถาษาถิ่นนั้น เดิมเป็นคำของไทย-ไท-ลาว ซึ่ง ถ้าเราได้อ่านวรรณคดีเก่าๆ ของไทยจะพบว่า มีหลายคำที่ปัจจุบันภาคกลาง (ภาษาทางการ) เลิกใช้แล้ว แต่ภาษาถิ่นยังใช้อยู่ เช่นภาษาใต้ยังใช้คำว่า แล = ดู, เถื่อน = ป่า เป็นต้น ตัวอย่าง สำนวนภาคกลางที่ยังหลงเหลืออยู่ เช่น เข้าเถื่อนอย่าลืมพร้า เป็นต้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น