วันพุธที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

การจำแนกประเภทเฟินตามลักษณะนิเวศวิทยา

นักพฤษศาสตร์ จำแนกประเภทของเฟิน โดยยึดตามลักษณะของถิ่นที่อยู่อาศัยและสิ่งแวดล้อม หรือนิเวศวิทยา ดังต่อไปนี้

1. กลุ่มเฟินดิน-ทนแดด (Terrestial-Sun-Ferns)
2. กลุ่มเฟินดิน-ชอบร่มเงา (Terrestial-Shade-Ferns)
3. กลุ่มเฟินเถาเลื้อย (Climbing Ferns)
4. กลุ่มเฟินเกาะอาศัย หรือไม้อากาศ (Epiphytes)
5. กลุ่มเฟินผา (Lithophytic Ferns หรือ Rock Ferns)
6. กลุ่มเฟินน้ำ (Aquatic Ferns)
7. กลุ่มเฟินภูเขา (Mountain Fern)

กลุ่มเฟินดิน-ทนแดด (Terrestial-Sun-Ferns)

เฟินในกลุ่มนี้ ในธรรมชาติพบอยู่ตามพื้นดิน ในบริเวณที่ได้รับแสงแดดจัดจ้า ตลอดวัน หรือเกือบตลอดวัน แต่มีความชุ่มชื้นในอากาศสูง ดินระบายน้ำได้ดี
ลักษณะของเฟินกลุ่มนี้ มักมีลักษณะใบหนาและมี cuticle layer ปกคลุมผิวใบด้านบน เพื่อกันการสูญเสียน้ำทางใบ เมื่อโดดแสงแดดหรือลมพัด
เฟินในกลุ่มนี้ ขอยกตัวอย่างเพียงบางชนิด พอสังเขป เช่น

โชน (dicranopteris linearis) ในภาพซ้ายมือ ถ่ายจากเนินดินข้างถนน บนเนินเขา ทางไป อ.สังขละ กาญจนบุรี สภาพแวดล้อมที่บริเวณนั้น มีความชื้นในอากาศสูง และโชนได้รับแสงแดดจัดเต็มที่ทั้งวัน

ในบริเวณนั้น นอกจากโชนแล้ว ยังพบเฟินหลังเงิน ( Pityrogrammar calomelanos ) เฟินสามร้อยยอด ( Lycopodiella cernuum ) ซึ่งจัดเป็นญาติของเฟิน (Fern Allied) และ กูดดอย ( Bleachnum oriental ) ก็พบมากทั่วประเทศ โดยเฉพาะบริเวณหน้าผาดินปนหิน และบริเวณเชิงเขาทั่วไปและอีกหลายชนิดที่ขึ้นอยู่รวมๆ กัน

เห็นได้ชัดว่า เฟินเหล่านี้มีประโยชน์ในแง่ของการอนุรักษ์หน้าดิน ป้องกันการชะล้างพังทะลายของหน้าดินอีกด้วย
กลุ่มเฟินดิน-ชอบร่มเงา (Terrestial-Shade-Ferns)
เฟินกลุ่มนี้ ในธรรมชาติจะพบอยู่ตามพื้นดิน ในบริเวณที่ได้รับแสงน้อย หรือแสงแดดรำไร ใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ ในอากาศมีความชื้นสูง อุณหภูมิของพื้นดินไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก อย่างเช่นในป่าดิบชื้น ซึ่งเฟินระดับพื้นดินด้านล่างจะได้รับแสงน้อย ไม่มีลมพัดแรง
ลักษณะเฟินในกลุ่มนี้ส่วนมาก มักมีใบบาง และในบางชนิด มีใบปกติ (sterile frond) กับใบสปอร์ (fertile frond) มีลักษณะไม่เหมือนกัน คือ ใบสปอร์มักผอมเรียวและก้านใบยาวกว่าใบปกติ เพื่อให้อับสปอร์สามารถกระจายพันธุ์ไปได้ไกล
เฟินบางชนิด จัดอยู่ได้ทั้งกลุ่มทั้งเฟินดินทนแดด กับเฟินดินชอบร่ม ตัวอย่างเช่น เฟินนาคราช

ตัวอย่างหนึ่ง เฟินดิน ชอบร่มเงา เช่น เฟินลูกไก่ดำ หรือ กูดกบ ( Pleocnemia irrecgularis ) เราจะพบได้ตามพื้นในป่า อยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ ที่มีแสงแดดส่องลอดผ่านลงมาบ้างในบางชั่วโมง แต่ไม่ถึงกับแดดจัดจ้าตลอดวัน
เฟินบางชนิด เราอาจพบได้ในบริเวณที่ร่มสนิท แดดส่องลงมาไม่ถึง มีเพียงแสงสว่างเท่านั้น ตัวอย่างเช่น เฟินกีบแรด ( Angiopteris evecta ) เฟินหางหงษ์ ( Bolbitis heterocrita ) เฟินใบตำลึงหรือใบองุ่น ( Doryopteris ludens ) เหล่านี้เป็นต้น

กลุ่มเฟินเถาเลื้อย (Climbing Ferns)

เฟินกลุ่มนี้ จะพบเลื้อยพันเกาะอยู่ตามต้นไม้ โดยสปอร์เริ่มงอกจากบนดินก่อน จากนั้นจะเติบดตปีนเลื้อยเกี่ยวพันปีนขึ้นไปบนต้นไม้ เพื่อรับแสงแดดที่อยู่ข้างบน แต่ระบบรากยังคงดูดน้ำและแร่ธาตุอาหารจากพื้นดินเป็นหลัก เฟินเลื้อยมีทั้งชนิดที่ต้องการร่ม และชนิดที่ต้องการแดดจัด

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุดของเฟินประเภทนี้ คือ ย่านลิเภา ในสกุล Lygodium sp. ที่เราเคยได้ยินชื่อกันบ่อยๆ จากงานหัตถรรมเครื่องจักสาน กระเป๋าลิเภา เป็นต้น ย่านลิเภา มีเหง้าลำต้นอยู่ในดิน ส่วนที่เห็นเป็นเถานั้น เป็นส่วนของใบที่พัฒนาต่อยอดขึ้นไป เพื่อเกี่ยวเกาะต้นไม้ที่อยู่ใกล้ ขึ้นไปหาแสงแดดที่อยู่ด้านบน

กลุ่มเฟินเกาะอาศัย หรือไม้อากาศ (Epiphytes)

เฟินกลุ่มนี้ เจริญเติบโตอยู่บนต้นไม้ แต่ไม่ได้เป็นประเภทกาฝาก (parasite) เพราะอาศัยเกาะอยู่ตามกิ่งตามลำต้นของต้นไม้ รากจะเกาะอยู่เฉพาะที่ผิวหรือเปลือกไม้เท่านั้น ไม่ได้ไชรากเข้าไปแย่งอาหารและน้ำจากต้นไม้ที่ยึดเกาะ แต่ได้จากเศษเปลือกไม้ ใบไม้ ลูกไม้ ที่หล่นทับถมลงมา และมักพบเฟินจำพวกนี้อาศัยอยู่รวมกับพวกมอส ซึ่งจะช่วยกันรักษาความชื้นให้กันและกัน

เฟินในกลุ่มนี้ บางชนิดชอบอยู่ร่ม และบางชนิดที่ชอบแดดจัด และมีการพัฒนาปรับตัว เพื่อดำรงชีวิตเกาะอยู่บนต้นไม้แตกต่างกันไป

ในกลุ่มที่ชอบร่มเงา มักจะอยู่ตามส่วนล่างของลำต้นไม้ใหญ่ หรืออยูใกล้ลำธาร ใกล้น้ำตก หรือในป่าดงดิบ ที่มีเมฑหมอกปกคลุม
มีการพัฒนาปรับตัวรูปแบบต่างๆ กัน บางชนิดปรับตัวได้ดี เมื่อถึงฤดูแล้ง ด้วยการงอหรือหุบใบลง เพื่อป้องกันสูญเสียน้ำจากการคายน้ำ

ในกลุ่มที่ชอบแสงมาก บางชนิดพัฒนาใบเป็นใบหนาอวบน้ำและผิวใบมัน เพื่อเก็บน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้ง สังเกตุเฟินในกลุ่มนี้ มีระบบรากเป็นขนฟูเหมือนฟองน้ำ เพื่อช่วยกักเก็บน้ำไว้ใช้ในหน้าแล้งได้อีกด้วย
ในบางชนิด มีการพัฒนาปรับตัวให้สามารถทนทานต่อสภาพในฤดูแล้งได้ดีในหลายๆ รูปแบบ ตัวอย่าง เช่น เฟินข้าหลวง เฟินชายฟ้าสีดา กระแตไต่ไม้ เฟินเจ้างูเขียว และเกล็ดนาคราช เหล่านี้เป็นต้น
กลุ่มเฟินผา (Lithophytic Ferns หรือ Rock Ferns)


กลุ่มเฟินผา จะเป็นกลุ่มที่เจิรญเติบโตเฉพาะบนหิน โขดหิน หรือตามหน้าผา เท่านั้น จะไม่พบเฟินกลุ่มนี้ไปเจริญเติบโตบนไม้ใหญ่อย่างเฟินเกาะอาศัย ซึ่งต่างจากเฟินเกาะอาศัยบางชนิด สามารถปรับตัวอยู่บนไม้ใหญ่ หรือบนหินแบบเฟินผาได้
ลักษณะเฉพาะที่สำคัญของเฟินกลุ่มนี้ คือ ระบบรากของเฟินกลุ่มนี้ที่แผ่เกาะอยู่กับหินนั้น ต้องการการถ่ายเทของอากาศได้ดี และน้ำไม่ขังแฉะ
เฟินกลุ่มนี้ จะปรับตัวเองเพื่อให้เข้าสภาพแวดล้อมในแต่ละฤดูกาล อย่างเช่น ในช่วงฤดูแล้ง มันจะพักตัว ด้วยการทิ้งใบ หรือห่อใบเอาไว้ เพื่อป้องกันการสูญเสียน้ำจากลำต้น หรือพัฒนาระบบรากให้เป็นฟองน้ำ เพื่อดูดซับความชื้นจากอากาศเอาไว้
กลุ่มเฟินน้ำ (Aquatic Ferns)


เฟินบางชนิด เป็นพืชน้ำ มีทั้งชนิดที่ลอยอยู่ตามผิวน้ำ และชนิดที่ขึ้นอยู่กับดินโคลนตามแหล่งน้ำขังตื้นๆ หรือตามริมตลิ่งก็มี
บางชนิด ที่เราเคยพบเห็นกันทั่วไป และมีหลายคนอาจไม่เคยนึกมาก่อนว่า เป็นพวกเฟิน อย่างเช่น แหนแดง (Azolla pinnata) จอกหูหนู (Salvinia cucullata) ผักแว่น (Marsilea crenata) เฟินขาเขียดน้ำหรือกูดกวาง (Ceratopteris thalictroides) ปรงไข่ ปรงหนู (Acrostichum
กลุ่มเฟินภูเขา (Mountain Fern)
เฟินภูเขา เป็นเฟินที่อยู่้ในป่าตามภูเขา ที่มีลักษณะป่าเป็นป่าทึบสมบูรณ์ มีความชุ่มชื้นสูง ได้รับไอน้ำจากเมฆและหมอกที่ปกคลุม อีกทั้งเทือกเขาสูงที่เป็นแหล่งต้นน้ำลำธารหรือน้ำตก

ตัวอย่างเฟินประเภทนี้ได้แก่ เฟินในกลุ่มนี้ เช่น กูดต้น หรือ Tree Fern ในสกุล Cyathea เฟินออสมัดา ในสกุล Osmunda เฟินบัวแฉก ในสกุล Dipeteris เฟินกูดเกี๋ยะ ฯลฯ เหล่านี้เป็นต้น
เฟินในประเภทนี้ จะพบเห็นได้บ่อย ตามเทอกเขาสูง เช่น ดอยอินทนนท์ ดอยอ่างข่าง ดอยเชียงดาว ภูหลวง ภูเรือ ภูกระดึง เขาใหญ่-โคราช เขาสอยดาว-จันทบุรี เขาหลวง-นครศรีธรรมราช และอีกหลายๆ แห่งในไทย
แต่สำหรับการนำมาปลูกเลี้ยงบนพื้นราบ ค่อนข้างจะรอดได้ยาก หรืออาจไม่งามเท่าที่ควร อันเนื่องมาจากความชุ่มชื้นในบรรยากาศไม่เพียงพอ ประกอบกับความกดอากาศ ก็มีผลด้วยเช่นกัน

วันอังคารที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

โครงสร้างของเฟิน Fern Structure

การทำความรู้จักกับโครงสร้างของต้นเฟิน มีความสำคัญกับคนรักเฟินอย่างพวกเราเช่นกัน
ไม่ว่า จะเป็นผู้เริ่มต้นปลูก หรือปลูกเป็นอาชีพมานานแล้วก็ตาม เนื้อหาในเรื่องนี้ แม้ว่าจะค่อนข้างซับซ้อน แต่หากเราพยายามทำความเข้าใจ จะช่วยเราได้มากในการศึกษาเกี่ยวกับเฟิน เพื่อ
การจำแนกชนิดของเฟิน
ทำความเข้าถึงรูปแบบการเจริญเติบโตของเฟิน
เข้าใจถึงการปรับตัวของเฟินให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม
เข้าใจถึงลักษณะของโครงสร้างเฟิน ที่สัมพันธ์กับถิ่นที่อยู่อาศัยในธรรมชาติ
การปลูกเลี้ยง ทั้งการเลือกชนิดเฟินและวิธีการปลูกและวิธีการเลี้ยง
การขยายพันธุ์เฟิน ทั้งจากส่วนต่างๆ ของต้น (การขยายพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ) และจากการเพาะด้วยสปอร์ (การขยายพันธุ์แบบอาศัยเพศ)
เฟิน เป็นพืชที่มีระบบท่อลำเลียงเป็นเนื้อไม้ เหมือนในต้นไม้ชนิดอื่นทั่วไป เพียงแตกต่างที่เฟินไม่มีดอก แต่มีส่วนที่สร้างสปอร์เพื่อการสืบพันธุ์ แต่ถึงแม้ว่า โดยพื้นฐานแล้วจะมีความคล้ายคลึงกันกับพืชทั่วไปก็ตาม แต่การพัฒนาโครงสร้างลำต้นและใบของเฟินนั้น เปลี่ยนแปลงไปจนทำให้มองไม่ออกถึงความสัมพันธ์กับพืชชนิดอื่นทั่วไป

อีกทั้งนักพฤกษศาสตร์ทางด้านเฟิน มักใช้ศัพท์เฉพาะกับโครงสร้างบางส่วนของเฟิน แตกต่่างไปจากพืชในกลุ่มอื่น จึงทำให้คนทั่วไปนึกว่า โครงสร้างของเฟินนั้น แตกต่างกับพืชชนิดอื่นๆ โดยสิ้นเชิง
ดังนั้น เราจะอาจจะได้พบคำศัพท์บางคำ ที่ใช้เรียกส่วนต่างๆ ของเฟิน แตกต่างไปจากพืชในกลุ่มอื่นบ้าง แต่อย่างไรก็ตาม เนื้อหาส่วนนี้ของที่นี่ จะพยายามอธิบาย ด้วยคำบอกเล่า ที่จะทำให้อ่านแล้วเข้าใจง่ายให้มากที่สุด แม้บางครั้งอาจหลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่จะต้องแทรกคำศัพท์ทางพฤกษศาสตร์เข้าไปบ้าง เพื่อยึดความหมายทางวิชาการเอาไว้ และเพื่อน้องๆ เยาวชนที่เปิดเข้ามาศึกษาเรื่องเฟิน จะได้คุ้นเคยกับคำศัพท์เหล่านั้นไปด้วย
โครงสร้างของเฟินบางส่วน เราอาจสามารถมองเห็นได้ชัด แต่บางส่วนอาจอยู่ใต้ดิน หรือบางส่วนอาจเล็กมาก ต้องใช้แว่นขยาย หรือใช้กล้องจุลทรรศน์มาช่วยส่องดู


ส่วนประกอบหลักของโครงสร้างเฟินทั่วไป ได้แก่

ราก Roots
ลำต้น Stems
เกล็ด หรือ ขน Scales หรือ Hairs
ก้านใบ Stipes และ ใบ Fronds
ส่วนขยายพันธุ์และสปอร์ Spores

ธรรมชาติของเฟินและญาติของเฟิน


เฟิน (Ferns) และญาติของเฟิน (Fern Allies) คืออะไร

เฟินและญาติของเฟินรวมกันเป็นกลุ่ม division ในอาณาจักรพืชทีเรียกว่า Pteridophyta พืชกลุ่มนี้ เป็นพืชไม่มีดอก และการขยายพันธุ์เพิ่มจำนวนมีวิธีการที่เห็นไม่ชัดเจน ลักษณะการขยายพันธุ์แบบนี้มีในพืชชนิดอื่นอีก เช่น สาหร่าย มอส และลิเวอร์เวิร์ท จึงเรียกพืชในกลุ่มที่มีการขยายพันธุ์แบบเห็นไม่ชัดนี้ว่า Cryptogams หมายความว่า "hidden marriage" เฟินและญาติของเฟิน มีลักษณะที่คล้ายคลึงกับสาหร่ายและมอสอยู่หลายประการ แต่ก็มีลักษณะที่แตกต่างออกไปมากที่สุดก็คือ มีระบบท่อลำเลียง ที่ใช้ลำเลียง น้ำ สารอาหาร และโฮโมนอยู่ภายใน 

ฟินและญาติของเฟิน เป็นพืชที่มีบรรพบุรุษมาแต่ยุคอดีตกาลโบราณหลายล้านปี ทราบได้จากซากสิ่งมีชีวิตในสมัยโบราณที่นักวิทยาศาสตร์ขุดพบ ตั้งแต่ยุคเมโสโซอิค เมื่อ 360 ล้านปีผ่านมาแล้ว เฟินมีอายุเก่าแก่มากกว่าสัตว์บกทั้งหลาย รวมถึงไดโนเสาร์ด้วยซ้ำไป เฟินเกิดขึ้นมาบนโลก ก่อนที่จะมีพืชมีดอก ก่อนถึง 200 ล้านปี ส่วนกำเนิดเริ่มต้นของเฟินและญาติของเฟินไม่เป็นที่ทราบได้แน่ชัด แต่เชื่อว่า พวกมันมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสาหร่ายมากกว่ามอส และอาจมีมีจุดกำเนิดเริ่มต้นมาจากสาหร่ายก็เป็นได้
ตามที่เรารู้ๆ กันว่า เฟินส่วนมากเป็นต้นไม้ที่เติบโตในพื้นที่ชุ่มชื้น ภายใต้ร่มเงาในป่าใหญ่ พวกมันเป็นพืชที่มีระบบท่อลำเลียง ที่มีระบบท่ออยู่ภายใน เพื่อลำเลียงขนถ่ายน้ำและธาตุอาหาร ขึ้นมาหล่อเลี้ยงต้น เหมือนพืชที่มีระบบท่อลำเลียงชนิดอื่น อย่างพืชมีดอก หรือพืชจำพวก conifers อย่างเช่น พวกสน เป็นต้น แต่แตกต่างกันที่ พืชจำพวกหลังนี้ต้นอ่อนใหม่เจริญเติบโตงอกออกมาจากเมล็ด ส่วนเฟินนั้น งอกจากสปอร์และมีช่วงชีวิตส่วนนี้เรียกว่า แกมมีโตไฟต์
สิ่งที่เฟินแตกต่างกับพืชมีดอกและพืชเมล็ดเปลือย
เฟินเป็นพืชที่บอบบางกว่าพืชที่มีระบบท่อลำเลียงด้วยกันตรงที่ มันสามารถเจริญเติบโตได้ในที่ที่มีความชื้นเพียงพอและเหมาะสม สปอร์ของเฟินจะไม่สามารถงอกและขยายพันธุ์ไปได้ในที่ๆ ทั้งร้อนและแห้งแล้ง ต่างกับพืชมีดอกหรือพืชจำพวกสนที่ต้องการเพียงความชื้นเล็กน้อย ก็สามารถงอกและเจิญเติบโตเป็นต้นใหม่ได้
พืชมีดอกทั่วไป เราพอจะทราบกันอยู่แล้วถึงวิธีการขยายพันธุ์ เมื่อเปรียบเทียบกับเฟิน พืชมีดอกนั้นอาศัย เช่น ลม น้ำ แมลง สัตว์ เป็นต้น เป็นตัวนำพาเกสรตัวผู้ัจากดอกไม้ดอกหนึ่ง ข้ามไปผสมพันธุ์กับเกสรตัวเมียอีกดอกหนึ่ง เมื่อเกิดการปฏิสนธิขึ้น จะทำให้เกิดเป็นต้นอ่อนเก็บไว้ภายในเมล็ด เพื่อรอการแพร่กระจายออกไปงอกเป็นต้นใหม่ในที่อื่นๆ ต่อไป
สำหรับเฟินนั้น แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง เฟินขยายพันธุ์ด้วยสปอร์ ซึ่งเป็นวิธีการที่ค่อนซับซ้อนมากยิ่งกว่า อีกทั้งเฟินไม่มีดอกบนต้นที่จะให้เกสรตัวผู้ข้ามมาผสมกับเกสรตัวเมียเพื่อให้เกิดเป็นต้นอ่อน ทั้งขบวนการปฏิสนธิจำเป็นต้องมีน้ำอยู่ด้วยจึงจะสามารถเกิดขบวนการนี้ได้
เกร็ดความรู้ :


รากศัพท์ของคำว่า fern
fern ในภาษาอังกฤษปัจจุบัน มาจาก ferne ใน Middle English (ประมาณ คศ 1300) ซึ่งพัฒนาจาก fearn ใน Old English (ประมาณปี 700) และมีรากคำ porno ในภาษา Indo-European (ภาษาในยุโรปเกือบทั้งหมดรวมทั้งภาษาสันสกฤตมาจากภาษานี้)
ในภาษาเยอรมันปัจจุบันใช้คำว่า farn ในภาษา Dutch (Norway )ใช้คำว่า varen (a มีตัวกลมๆอยู่ข้างบน) ก็มาจากรากเดียวกันนี้ (ภาษา Norway – varen แปลว่าฤดูใบไม้ผลิ) คำและรากศัพท์ เหล่านี้ มีความหมายแปลว่า ขนนก หรือใบไม้
และ เชื่อกันว่าเดิมทีเดียว fern หมายถึง ใบไม้ที่เหมือนขนนก (feathery leaf)

รากเดียวกันนี้ยังป็นที่มาของคำ parnam, parna ในภาษา Sanskrit ซึ่งแปลว่า ขนนก หรือใบไม้ เหมือนกัน หาในพจนานุกรม Sanakrit คำนี้แปลว่า ขนนก, ใบไม้ , ลูกพลัม, ลูกธนู ไม่รู้เรื่องภาษาสันสกฤต เลยลองหาคำพ้องเสียงในพจนานุกรมไทย ได้คำว่า “พาณ” แปลว่าลูกธนู ไม่รู้ว่าเกี่ยวกันหรือเปล่า

บางครั้งภาษาไทย (ที่มาจากสันสกฤต) กับภาษาอังกฤษก็ใกล้กันนิดเดียว เช่น man กับมนุษย์ มาจากรากศัพท์เดียวกัน เดิม man แปลว่ามนุษย์ ไม่ได้แปลว่าผู้ชาย (ผู้ชายใช้คำ wer, ผู้หญิง wif) มาใช้ความหมายว่าผู้ชายเมื่อปี 1000 นี่เอง แล้ว wer ก็เลิกใช้ไป มีหลงเหลือให้เห็นอยู่คำเดียว คือ werewolf (มนุษย์หมาป่า)
คนไทยเรียกเฟินว่า กูด โดย fsMaster

คำไท-ไทย-ลาวเรียก กูด มาแต่ช้านาน เป็นคำโบราณมีมาแต่สมัยก่อน แต่ไม่ได้มีการทำข้อตกลงกำหนดนิยามเอาไว้ว่า

ต้นไม้ชนิดบ้างที่จัดเป็น กดู

เล่าถึงในรัชสมัย รัชกาลที่ ๕ พระองค์ทรงนำพันธุ์ไม้ชนิดใหม่ๆ มากมาย จากต่างประเทศ เข้ามาปลูกเลี้ยงและขยายพันธุ์ในสยามประเทศ เมื่อคราวที่เสด็จไปเยี่ยมประเทศต่างๆ หลายประเทศ เพื่อผูกสัมพันธไมตรี ต้นไม้ที่ทรงนำเข้ามาในตอนนี้น ก็มีหลายชนิดที่เป็นต้นไม้จำพวกกูด แต่ไม่มีใครเรียกต้นไม้เหล่านั้นว่า กูด ในสมัยนั้น เรียกกันแต่ว่า เฟิน ตามชื่อเรียกที่ได้จดจำบันทึกกำกับมาจากต่างประเทศ


เข้าใจว่า สยามประเทศในสมัยนั้น คงยังไม่มีการศึกษาในรายละเอียดของเฟินที่นำเข้ามาเหล่านั้นว่า แท้จริงแล้ว ก็คือ ต้นไม้ในตระกลูเดียวกันกับ กดู ในสยามประเทศของเรา และเมื่อเฟินเหล่านั้น ได้มีการแพร่ขยายพันธุ์ออกไป เป็นที่นิยมปลูกเลี้ยงประดับบ้านเรือนกันทั่วไปแล้ว
ก็ยังคงเรียกกันว่า เฟิน ตามชื่อเดิมที่มา จนในที่สุด คนไทยในเมือง ก็ลืมคำว่า กูด ไปหมดสิ้น เหลือแต่คำว่า เฟิน
ประกอบกับ คนไทยในเมือง ได้รู้จักแต่คำว่า เฟิน จากตำรับตำราเรียน วิชาวิทยาศาสตร์บ้าง วิชาสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิตบ้าง
และยังได้รู้จักวิธีสังเกตและการจำแนกแยกชนิดต้นไม้ได้ว่า ต้นไม้ที่มีใบอ่อนใหม่ ม้วนเป็นลานนาฬิกา คือ เฟิน แต่แทบจะไม่เคยได้ยินคำว่า กูด เรียกกันในเมืองอีกเลย
จะเหลือก็เพียงแต่ คนบ้านนอก หรือคนที่อยู่ในชนบทห่างความเจริญออกไปไกล จึงยังมีคนที่เรียก กูด หรือ ผักกูด อยู่ ตามชื่อต้นไม้ที่เรียกกันมาดั้งเดิม แต่บรรพบุรุษ ปู่ ย่า ตา ยาย อีกทั้งยังรู้ด้วยว่า กูด ต้นไหนกินได้ เคยกิน หรือเคยลองกิน ก็จะเรียกว่า ผักกูด
และอาจจะไม่เคยได้รับรู้ หรือรู้จัก เฟิน จากตำราเรียน เหมือนอย่างคนในเมือง ทำให้ช่วยอนุรักษ์คำว่า กูด เอาไว้ให้กับคนไทยรุ่นใหม่ได้รับรู้สืบต่อมา
รากศัพท์และความหมายของคำว่า กูด
ในพจนานุกรม บอกว่าภาษาถิ่นของทางเหนือกับอิสาน เรียกเฟินว่า "กูด" มีอีกความหมายว่า หงิก ซึ่งเป็นภาษาถิ่นของทาง เหนือกับอิสาน และใต้ด้วย
ดังนั้น ผักกูด คือ ผักยอดหงิก
ส่วน เฟิน หรือ เฟิร์น นั้น เฟิน น่าจะเป็นการสะกดที่ถูกต้องที่สุด แต่อนุโลมให้ใช้ เฟิร์น ได้ (จำมาจากพจนานุกรมฯ 2542)


สำหรับคำว่า "กูด" ที่ว่าเป็นถาษาถิ่นนั้น เดิมเป็นคำของไทย-ไท-ลาว ซึ่ง ถ้าเราได้อ่านวรรณคดีเก่าๆ ของไทยจะพบว่า มีหลายคำที่ปัจจุบันภาคกลาง (ภาษาทางการ) เลิกใช้แล้ว แต่ภาษาถิ่นยังใช้อยู่ เช่นภาษาใต้ยังใช้คำว่า แล = ดู, เถื่อน = ป่า เป็นต้น ตัวอย่าง สำนวนภาคกลางที่ยังหลงเหลืออยู่ เช่น เข้าเถื่อนอย่าลืมพร้า เป็นต้น